เชื่อว่าการมีธุรกิจส่วนตัว คงเป็นความฝันของหลายๆคน เพราะใครๆก็อยากที่จะเป็น เจ้านายตัวเอง กันทั้งนั้น จึงทำให้ทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะออกไปไหน ก็มักจะเห็นว่า มีกิจการและร้านค้าผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
แต่จะมีสักกี่ร้านที่สามารถอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง…เพราะปัจจุบัน บางธุรกิจมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก และต้นทุนบางอย่างก็มีราคาสูงขึ้นทุกวันๆ ดังนั้นการวางแผนธุรกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
วันนี้พี่โอกาสเลยจะมาแนะนำวิธีการคิดต้นทุน และการตั้งราคาสำหรับการเปิดร้านกันครับ ใครที่อยากมีร้านเป็นของตัวเอง ห้ามพลาด !
บางร้านขายดี คนเข้าเยอะ แต่ทำไมถึงเจ๊ง
สาเหตุที่ผู้ประกอบการหลายคนขาดทุน นั่นก็เพราะส่วนใหญ่ใช้ “ความรู้สึก” ในการตั้งราคา และการคิดต้นทุน ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมากๆครับ
บางคนอาจคิดว่าขายดี แต่พอมาดูปลายเดือน กลายเป็นว่าขาดทุนหนักมาก นั่นก็เพราะตั้งราคาต่ำเกิน และไม่เคยคำนวณต้นทุนเลย
ต้นทุนเปิดร้านมีต้นทุนอะไรบ้าง?
ถ้าไม่อยากขาดทุน ต้องแจกแจงต้นทุนให้ดี โดยต้นทุนในการทำธุรกิจนั้นมี 2 ประเภท ได้แก่ :
1. ต้นทุนผันแปร
ต้นทุนผันแปร คือต้นทุนที่จะ เพิ่มหรือลดไปตามจำนวนขาย ยิ่งขายจำนวนมาก ต้นทุนผันแปรก็จะยิ่งมาก เช่น ต้นทุนอาหารต่อจาน หรือต้นทุนกาแฟต่อแก้ว ซึ่งต้นทุนผันแปร มักจะเป็นค่าวัตถุดิบ ค่าภาชนะ หรือค่าใช้จ่ายของสิ่งที่เป็นองค์ประกอบในสินค้า
2. ต้นทุนคงที่
ต้นทุนคงที่ คือต้นทุนที่จะ ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะขายสินค้านั้นได้หรือไม่ เช่น ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าเสื่อม ซึ่งหลายคนมักจะตั้งราคาโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนส่วนนี้ เลยทำให้นึกว่าขายดี แต่สุดท้ายขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
3. ค่าเสื่อม
ค่าเสื่อม เป็นต้นทุนคงที่ที่คำนวณจากเงินลงทุนเริ่มต้น โดยจะตัดออกจากมูลค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ เช่น ถ้าซื้อเครื่องชงกาแฟมา 36,000 บาท โดยคิดคร่าวๆว่าจะมีอายุการใช้งาน 5 ปี จะต้องตัดค่าเสื่อมปีละ 7,200 บาท หรือเดือนละ 600 บาท เป็นต้นทุนคงที่เผื่อไว้ด้วย
สาเหตุที่เราต้องคิดค่าเสื่อมด้วย นั่นก็เพราะว่า การหักค่าเสื่อมจะทำให้คุณเห็น “กำไรตามความเป็นจริง” และทำให้มีเงินสำรองเก็บไว้ซื้อสิ่งนั้นใหม่ เมื่อครบอายุการใช้งาน
ตั้งราคาขายอย่างไร ขายเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม?
ถ้าอยากรู้ว่าจะต้องขายเท่าไหร่ เพื่อให้คุ้มทุนตามราคาขายที่ตั้งไว้ อันดับแรกคุณต้องหารู้ก่อนว่า ต้นทุนในการทำธุรกิจของคุณมีอะไรบ้าง และแจกแจงให้ได้ว่าเป็น ต้นทุนประเภทไหน
ขั้นตอนที่ 1
หลังจากที่รู้ต้นทุนแล้ว สิ่งที่ต้องหาต่อไปคือ กำไรต่อหน่วย และอัตราส่วนกำไรครับ..
โดยกำไรต่อหน่วยสามารถหาได้ โดยนำราคาขายที่ตั้งไว้มาลบกับต้นทุนผันแปรต่อหน่วย ส่วนอัตราส่วนกำไรจะหาได้จาก กำไรต่อหน่วยหารด้วยราคาขาย
เช่น ถ้าคุณขายข้าวราดแกงจานละ 40 บาท แล้วมีต้นทุนต่อจาน 10 บาท คุณจะมีกำไรต่อจานประมาณ 30 บาท และจะมีอัตราส่วนกำไร 75%
ขั้นตอนที่ 2
เมื่อได้คำตอบจากขั้นตอนที่ 1 แล้ว คุณจะต้องนำกำไรต่อหน่วย และอัตราส่วนกำไรที่ได้ ไปหาจุดคุ้มทุน (จำนวนขายคุ้มทุน และยอดขายคุ้มทุน)
โดยจำนวนที่ขายคุ้มทุนจะเท่ากับ ต้นทุนคงที่ หารด้วยกำไรต่อหน่วย และยอดขายคุ้มทุนจะเท่ากับ ต้นทุนคงที่ หารด้วยอัตราส่วนกำไร
ขั้นตอนที่ 3
ถ้าคุณขายตามราคาที่ตั้งไว้ ได้น้อยกว่าจำนวนขายคุ้มทุน และน้อยกว่ายอดขายคุ้มทุน จะหมายความว่า คุณกำลังขาดทุน แต่ถ้าอยากได้กำไร คุณต้องขายให้ได้ มากกว่าจำนวนขายคุ้มทุน และมากกว่ายอดขายคุ้มทุน
ต้นทุนเปิดร้าน คำนวณยังไง?
ตัวอย่าง : เปิดร้านกาแฟลงทุนเริ่มต้นรวม 1.2 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะใช้เปิดร้านได้ 10 ปี มีค่าใช้จ่ายดำเนินงาน เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ประมาณเดือนละ 120,000 บาท และมีต้นทุนกาแฟต่อแก้ว 15 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว
จากตัวอย่างร้านกาแฟ คุณจะได้ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย เท่ากับ 15 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนต่อแก้ว โดยยิ่งขายได้เยอะจะมีต้นทุนส่วนนี้เยอะ
ค่าเสื่อมต่อเดือน
เมื่อเปิดร้านลงทุนเริ่มต้นรวม 1.2 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะใช้เปิดร้านได้ 10 ปี (สมมุติว่าไม่มีค่าซาก) คุณจะต้องตัดค่าเสื่อมเป็นต้นทุนคงที่ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท (เยอะมาก)
ค่าเสื่อม = เงินลงทุนเริ่มต้น / อายุการใช้งาน
ค่าต้นทุนคงที่ต่อเดือน
ค่าต้นทุนคงที่ตามตัวอย่างจะเท่ากับ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมกับค่าเสื่อม ซึ่งรวมกันแล้วจะเท่ากับ 130,000 บาท
ค่าต้นทุนคงที่ = ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน + ค่าเสื่อม
จุดคุ้มทุนเปิดร้าน คำนวณอย่างไร?
จากต้นทุนเปิดร้านกาแฟตามข้างบนที่คำนวณกันไปแล้ว หากต้องการตั้งราคากาแฟขายแก้วละ 60 บาท
1. หากำไรต่อหน่วย
กำไรต่อแก้วจะเท่ากับราคาขายต่อแก้ว ลบกับ ต้นทุนแปรผันจากหน้าที่แล้ว (60-15) ซึ่งจากตัวอย่างจะได้กำไรเท่ากับ 45 บาทต่อแก้ว และนำกำไรต่อแก้วหารด้วยราคาขาย (45/60) จะทำให้อัตรากำไรต่อแก้วเท่ากับ 75%
2. หาจุดคุ้มทุน
เราสามารถหา “จำนวนขายคุ้มทุน” ได้โดยนำต้นทุนคงที่จากหน้าที่แล้วมาหารด้วยกำไรต่อแก้ว (130,000/45) ซึ่งจะได้ประมาณ 2,889 แก้วต่อเดือน
และหา “ยอดขายคุ้มทุน” ได้โดยนำต้นทุนคงที่มาหารด้วยอัตราส่วนกำไร (130,000/0.75) จะได้ยอดขายคุ้มทุนเท่ากับ 173,333 บาทต่อเดือน
อยากขายได้กำไร ทำอย่างไร?
- กรณีแรก คือต้องขายให้ได้มากกว่า 2,889 แก้วต่อเดือน หรือได้ยอดขาย 173,333 บาทต่อเดือน
- กรณีที่สอง คือการเปลี่ยนราคาใหม่ หรือลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรต่อแก้วมากขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า คำนวณได้ไม่ยากเลย อย่าลืมกลับไปลองคำนวณ และปรับใช้กับธุรกิจของคุณดูนะครับ
ติดตามความรู้ดีๆจากเราได้ที่ : FINSTREET