ช่วงนี้หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า สกุลเงินดิจิตอล หรือ Cryptocurrency กันอยู่บ่อยๆ บางคนอาจได้ยินมาว่า มันเป็นเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติระบบการเงินที่เคยใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
หรือบางคนอาจคิดว่า มันเป็นแชร์ลูกโซ่ แล้วตกลงเจ้า Cryptocurrency มันคืออะไรกันแน่ วันนี้พี่โอกาสจะพาคุณไปหาคำตอบกันครับ !
สกุลเงินดิจิตอล เป็นอนาคตของระบบการเงิน?
ปัจจุบันระบบการเงินเกือบทั้งหมด ของหลายประเทศถูกควบคุมด้วยรัฐบาล และธนาคารกลาง ที่สามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้ และควบคุมนโยบายการเงินเองได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ซึ่งระบบแบบนี้ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ เพราะถ้าบริหารเงินดี วางนโยบายการเงินดีก็ถือว่าดีไป แต่บางครั้งถ้าบริหารไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ Hyperinflation แบบเวเนซุเอลา หรืออาจทำให้เกิดวิกฤตทางการเงินจากนโยบายได้
เพราะเหตุนี้จึงทำให้มีคนกลุ่มหนึ่ง สร้างสกุลเงินออนไลน์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะนำไปใช้แลกเปลี่ยนกันโดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง ซึ่งเราเรียกสกุลเงินรูปแบบนี้ว่า “สกุลเงินดิจิตอล” หรือ Cryptocurrency
สกุลเงินดิจิตอล คืออะไร?
สกุลเงินดิจิตอล หรือ Cryptocurrency คือสินทรัพย์ดิจิตอลรูปแบบหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ซึ่งจะคล้ายกับเงินที่เราใช้ทั่วไปเลยครับ เพราะสกุลเงินดิจิตอลสามารถใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน และมีมูลค่าในตัวเอง เพียงแต่ไม่สามารถจับต้องได้เหมือนเหรียญ หรือธนบัตรทั่วไป
การที่สกุลเงินดิจิตอลมีมูลค่าในตัวเอง นั่นก็เพราะคนให้ค่าในสกุลเงินนั้นๆตรงกัน (ราคาเสนอซื้อ เท่ากับ ราคาเสนอขาย) เหมือนกับสินทรัพย์ทั่วไป เช่น ทอง หรือ พระเครื่อง ที่คนสร้างมูลค่าขึ้นมาเอง
รวมถึงจุดเด่นอีกอย่างของที่สำคัญของเงินสกุลดิจิตอล คือ ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ ซึ่งจะต่างจากสกุลเงินปกติที่สามารถพิมพ์เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
สกุลเงินดิจิตอล มีสกุลเงินอะไรบ้าง?
ถ้าพูดถึงสกุลเงินดิจิตอล เชื่อว่าหลายคนคงต้องรู้จัก Bitcoin เพราะเป็นสกุลเงินดิจิตอลตัวแรกๆที่ถูกสร้างขึ้นมา โดยบุคคลหรือกลุ่มคนที่ใช้ชื่อสมมติว่า Satoshi Nakamoto ในปี 2008
แต่จริงๆแล้วปัจจุบัน Cryptocurrency มีมากกว่า 2,000 สกุลเงิน และแต่ละตัวก็มีคุณสมบัติที่ถูกพัฒนาขึ้นมาไม่เหมือนกัน เช่น Ethereum ,Ripple หรือ Litecoin
สกุลเงินดิจิตอล ต่างจากเงินปกติยังไง?
ปกติเวลาจะทำธุรกรรมการเงินอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่เรามักจะต้องทำผ่านตัวกลาง (Centralize) เช่น ธนาคาร ซึ่งธนาคารจะเป็นคนเดียวที่ควบคุม และรับรู้ข้อมูลการทำธุรกรรมของคุณ
ต่างจากสกุลเงินดิจิตอลที่ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการทำธุรกรรมเนื่องจากมี เทคโนโลยี Blockchain อยู่เบื้องหลัง ซึ่งข้อดีของเทคโนโลยีนี้ก็คือ เมื่อคุณทำธุรกรรม ข้อมูลการทำธุรกรรมจะถูก กระจายไปให้ทุกคนถือ โดยเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย (Decentralize)
ทำให้ข้อมูลมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ทำธุรกรรมเร็วกว่า ค่าธรรมเนียมถูกกว่า เพราะไม่ต้องมีตัวกลาง และมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากข้อมูลถูกถือโดยคนหลายคน
Centralize vs Decentralize
สมมุติให้เห็นภาพ ระบบ Centralize (ตัวกลาง) คือการที่ “นาย A ให้นาย B ยืมเงิน 500 บาท แล้วนำนาย C มาเป็นพยานในการยืนยัน”
ส่วน ระบบ Decentralize คือการที่ “นาย A ให้นาย B ยืมเงิน 500 บาท แล้วประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านรับรู้ว่า ได้ให้นาย B ยืมเงิน 500 บาท” ซึ่งตัวอย่างหลังจะทำให้ข้อมูลการทำธุรกรรมสูญหาย และถูกเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าครับ
นอกจากประโยชน์ในการเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนแล้ว สกุลเงินดิจิตอลยังสามารถใช้ในด้าน การลงทุน ได้อีกด้วย เพราะมีมูลค่าในตัวเอง และมีจำนวนจำกัด
สุดท้ายนี้อยากฝากเอาไว้ว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าอยากลงทุน ควรศึกษาการลงทุนให้ดีก่อน และอย่าลืมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอด้วยนะครับ
ด้วยความปรารถนาดีจาก FINSTREET